ทาเคชินั่งมองพระจันทร์ยามเที่ยงคืนจากริมหน้าต่าง
มือหนึ่งยกขึ้นมาเท้าคาง หยาดน้ำค้างคู่สวยสงบนิ่ง เหมือนกำลังจมลึกในความคิด
เขากลับมาจากบ้านมาซากิตั้งแต่ช่วงสามทุ่ม แม้สีหน้าเสียดายกับน้ำเสียงบอกลาหงอย ๆ ของคนดวงตาใส จะชวนใจอ่อนยวบแค่ไหน แต่ยังไงการปกปิดตัว คนจริง ๆ เอาไว้ก็ต้องมาก่อน หากความลับถูกเปิดเผย บางทีความรักที่เจ้าเหมียวโปโปะเคยได้รับอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อน-
ทาเคชิสะบัดหัว ขับไล่ความคิดด้านลบออกไป ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องในอดีตอีกแล้ว
พอตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องคิด ใบหน้าเล็กของเด็กสาวก็พลันแล่นเข้ามา
"จริง ๆ ก็เป็นคนน่ารักมากเลยนี่นา"
พิมพัมกับตัวเองพร้อมยกยิ้ม ก็มาซากิ ฮารุโกะที่เขาได้เห็นน่ะ เป็นคนที่อ่อนโยน ใจดี แล้วก็ขี้เหงาตั้งขนาดนั้นเลยนี่นา แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนลูกแมวตัวเล็กอย่างนั้นแหละ เวลาที่ดีใจแบบนั้นก็ทําเอาอดเอ็นดูไม่ได้
-พลันนึกถึงใบหน้าเล็กเปื้อนยิ้ม รอยยิ้มเล็ก ๆ น่ารัก น่ารักเสียจนนึกเสียดาย ที่ไม่ค่อยจะได้ เห็นมันจากเจ้าตัวสักเท่าไหร่
ถ้ายิ้มได้บ่อย ๆ ก็คงดี
ยกขาสองข้างขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ เหม่อมองคืนที่เงียบสงัดผ่านหน้าต่างใส รู้สึกเหงา ขึ้นมานิดหน่อย ทาเคชิจำไม่ได้แล้วว่าบ้านที่ตัวเองเคยอาศัยตอนเด็กนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ที่จำได้ก็มีเพียงความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวตอนที่ถูกส่งออกมา
แม้ทางเทคนิคเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่อยู่กับคุณตาผู้เป็นญาติห่าง ๆ ฝั่งแม่ คุณตาใจดี คอยช่วยเหลือและสนับสนุนเขาในทุกเรื่อง มีเพื่อนพ้องอีกหลายคนที่พร้อมจะยืนอยู่ด้วย
ทว่าในใจกลับเวิ้งว้าง ราวไม่มีใครสักคนที่หันมองไปเห็น ไม่มีใครสักคนที่จะให้แบ่งปันความเจ็บปวด
จะมีก็เพียงแต่กำแพงอิฐล้อมรอบ กําแพงสูงที่ บางที...เขาคงก่อมันขึ้นมาเอง
ไม่รู้สิ ทาเคชิไม่คิดว่าตัวเองเหมาะจะมีเพื่อนสักเท่าไร เขาไม่กล้าจะเข้าไปเป็นเพื่อนกับใครก่อน ไม่คิดว่าตัวเองทีเป็นตัวประหลาดแบบนี้จะมีสิทธิ์เป็นเพื่อนกับใครเขาด้วยซ้ำ
ก็เพื่อนทุกคนที่เคยมี พอรู้ความจริงเข้าก็—
พอแล้ว ไม่อยากคิด
ทาเคชิถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกระต่ายที่จะเฉาตายยามเหงาอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มรู้ดีว่าความเหงาน่ะเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีแค่ฮารุโกะที่เหงา- เขาก็เหงา ยังไงเสียความเหงาเป็นอารมณ์ ความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์อยู่แล้ว
แต่เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ก็เลยเข้าใจว่าความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวที่เด็กสาวต้องเผชิญมันเป็นเช่นไร ราวกับเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนไหล่เล็กทีโดดเดี่ยวนั่น เลยอยากจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง จะในฐานะเจ้าเหมียวโปโปะ หรือ คุโระ ทาเคชิ หากช่วยให้อีกคนยิ้มออกมาได้จากเบื้องลึกของหัวใจ เขาก็คงยินดี
อยากจะช่วยให้ยิ้มออก อยากจะเป็นเพื่อนด้วย
เพราะเหตุผลประหลาด ๆ และความรู้สึกแสนย้อนแย้งในตัวเอง ทาเคชิไม่เคยเข้าหาใครก่อน เพื่อน ๆ ทุกคนที่มีตอนนี้ล้วนแต่เป็นฝ่ายเริ่มหยิบยื่นไมตรีมาให้
นี่จึงจะเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขาจะเข้าหาและเป็นเพื่อนกับใครก่อน รวมทั้งอยากจะสารภาพความในใจ
"ตอนที่ไปขอโทษ คุณมาซากิ..จะยิ้มหรือเปล่านะ?"
ทั้ง ๆ ที่ตัดสินใจว่าจะไปขอโทษอีกคนด้วยแล้ว
พอถึงเวลาจริงมันกลับไม่ง่ายเลย
"คุณมาซากิ ตอนนี้ก็คงอยู่ในห้องเรียนแล้ว"
พิมพัมเสียงแผ่วแล้วพ่นลมหายใจออกมา สองขา หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง มือชะงักนิ่ง ไม่กล้าจะเปิดมันเข้าไป ทาเคชิรู้สาเหตุดี เป็นเพราะความรู้สึกประหม่าที่เกิดขึ้นมาในอกแน่แท้ ก็นะ สําหรับเขาแล้ว จนถึงเมื่อวานนี้ คุณมาซากิก็คือคนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าด้วยนี่นา...
ถึงจะได้รู้ว่าจริง ๆ จะไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรก็เถอะ แต่ให้มาเปลี่ยนในวันสองวันอะไรแบบนั้น มันก็ไม่ใช่จะง่ายเหมือนพลิกหน้ากระดาษเสียหน่อย
"อ๊ะ ทาเคชิคุงอรุณสวัสดิ์"
แล้วเสียงใสของเด็กสาวเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นจากด้านหลัง หยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวเด็กหนุ่มจอมคิดมาก ไหล่ของอิชิคุสะดุ้งน้อย ๆ ด้วยความตกใจ จนสมองประมวลผลได้ว่าคนเรียกไม่ใช่ใครอื่น ก็หันไปทักทาย อีกคนพร้อมรอยยิ้ม
“คุณคานาเอะ อรุณสวัสดิ์ครับ"
"ไม่เข้าไปเหรอ? "
ริโกะพยักหน้าพร้อมเอียงคอถามคนที่ยืนนิ่ง อยู่หน้าห้องตั้งนานสองนาน ทาเคชิอึกอักเล็กน้อย
เพราะกังวลก็เลยคิดฟุ้งซานไปเรื่อย..
แต่ยังไงเขาก็อดกังวลและประหม่าไม่ได้จริง ๆ
คงเพราะไม่รู้จะหาตัวอย่างไร และไม่รู้ว่าอีกคน จะตอบรับกลับมาเช่นไร
ความกังวลถึงได้ล้นเอ่อขนาดนี้
ทาเคชิเดาไม่ออก
ตลอดมา ระหว่างเขากับเด็กสาว มันมีระยะห่างระหว่างกันอยู่เป็นระยะที่ไกล- และทาเคชิก็เคยพึงพอใจกับระยะห่างนั่น เขาเคยคิดว่าคุณมาซากิเองก็คงเป็นเช่นเดียวกัน จนกระทั่งได้รับรู้เรื่องราว ได้สัมผัสความเหงา ความเศร้า ความโดดเดี่ยวที่อีกคนแบกไว้บนบ่า
จึงได้รู้ว่าแท้จริง มาซากิ ฮารุโกะ ก็แค่เด็กสาว มัธยมปลายขี้เหงาคนนึง
ทั้งที เหงาขนาดนั้น แต่ก็เว้นระยะห่างจากทุก คน ไม่สนิทกับเพื่อนร่วมห้องคนใหนนอกจากไดจิ มิหนำซ้ำยังแผ่รังสีไม่ต้องมายุ่งออกมาจนคนอื่นขวัญกระเจิงหมดอีกต่างหาก...
พอรู้แบบนั้น ก็ชวนให้นึกถึงลูกแมวขี้เหงาแต่ไม่ ค่อยคุ้นชินกับคนขิ้นมาเลยละ
คิดแล้วก็น่าตลกดีจัง ทั้งที่คนที่กลายร่างเป็นแมวได้คือเขาแท้ ๆ
แต่ตนไปรู้สึกว่าคนอื่นเหมือนแมวชะได้
ทาเคชิหลุดหัวเราะออกมาน้อย ๆ กับความคิดในหัวจนมิวายเพื่อนสนิทข้างตนเป็นต้องสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า อิชิคุง?"
"อ้ะ เปล่าครับ เข้าไปกันเถอะ”
คนผมดำร้องตอบก่อนส่งยิ้ม มือจับบานประตู หมายมั่นจะเปิด
ถ้าครั้งนี้—
ถ้าครั้งนี้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกสักหน่อย......
ลูกแมวตัวนั้นจะมีปฏิกิริยายังไงกันนะ
อ้าว?
ไม่อยู่แฮะ?
ดวงตาหยาดน้ำค้างกวาดมองไปทั่วห้องเรียนหมายจะหาเด็กสาวดวงตาใส แต่ก็ไว้ซึ่งวี่แววของคนตัวเล็ก เด็กหนุ่มได้แต่ก้าวขาเดินไปยังที่นั่งของตัวเอง แบบงุนงง
แขวนกระเป๋านักเรียนกับโต๊ะ ความสงสัยป่นกับ ความกังวลแล่นขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?
สงสัยแบบนั้น โดยปกติเวลานี้ ฮารุโกะมักจะมานั่งที่โต๊ะของตัวเองแล้ว แถมนี่เองก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้วด้วย
หรือว่าจะป่วย?
“ไดจิคุง วันนี้คุณมาซากิไม่มาเหรอ?"
ไม่รอช้าลุกเดินไปถามไดจิ เพื่อนร่วมห้องตัวสูงผู้เป็นทั้งหัวหน้าห้องและเพื่อนสนิทของฮารุโกะ ไดจิหันมองมาตามเสียงเรียก ดันแว่นเล็กน้อยให้กระชับกับกรอบหน้าก่อนเอ่ยตอบ
“อ๋อ มาซากิคุงมาแล้วน่ะ แล้วก็ออกไปไหนไม่รู้"
"เห็นบอกว่ามีธุระ จะรีบกลับมาก่อนโฮมรูมน่ะ”
"ตอนออกไปก็ รีบร้อนพอตัวเลยละนะ"
ทาเคชิพยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับพร้อมกล่าวคำ ขอบคุณ หยาดน้ำค้างคู่สวยหันมองไปที่ประตูอีกครั้ง ว่างเปล่า จากนั้นก็ถอนหายใจ-
ดูเหมือนเรื่องที่อยากจะคุย คงต้องเลื่อนออกไป ก่อนเสียแล้ว
คุณมาซากิกลับมาตอนที่คาบโฮมรูมเริ่มพอดิบ พอดี
ทาเคชิไม่มีโอกาสแม้แต่จะลุกไปหาเด็กสาวตัวเล็ก ระหว่างคาบเองก็ไม่มีจังหวะเหมาะ ๆ พอจะให้เข้าไปคุยกับอีกคน แต่พอถึงช่วงพักกลางวัน หันหลังกลับไป เด็กสาวก็ดันไม่อยู่แล้วซะอย่างนั้น
พอคราวอยากเจอ จับตัวยากยังกับหายตัวได้เลยนะ
คนตัวสูงได้บ่นงุบงิบอยู่ในใจขณะที่สองเท้ายังคง กึ่งเดินกึ่งวิ่ง หยาดน้ำค้างคู่สวยมองไปทั่วหมายจะหาเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล เขากำลังเดินตามหา มาซากิ ฮารุโกะ คนนั้นอยู่นั่นละ
จะรีบไปไหนของเธอกันนะ?
อะ นั่นไง เจอตัวแล้ว
ชะลอฝีเท้าเมื่อสายตาปะทะเข้ากับเด็กสาวที่กำลังตามหา มองอีกคนทรุดตัวลงนั่งที่หน้ากล่องระ เกะระกะบริเวณมุมอาคารเรียน ได้แต่นึกสงสัยในใจว่า อะไรคือสาเหตุที่ทําให้มาซากิ ฮารุโกะต้องรีบลุกออกจากห้องเรียนมาถึงขนาดนั้น
“เท่านี้ก็กินได้แล้วละ...”
ได้ยินเสียงนุ่มดังบอกพร้อมวางถ้วยใส่นมลงเบื้อง หน้าตน ทาเคชิขมวดคิ้ว พอลองจ้องเข้าไปที่เบื้องหน้าคนตัวเล็กนั่น ก็เห็นลูกแมวสีขาวนั่งอยู่ในกล่องกระดาษที่เพียงพอจะให้เป็นรังเล็ก ๆ สำหรับเจ้าเหมียวตัวน้อยได้
เห็นแบบนั้น เด็กหนุ่มผมดำก็หลุดยิ้มออกมานิดหน่อย
เหตุผลที่รีบร้อนออกมาจากห้องเรียนขนาดนั้น
คือลูกแมวนี่เอง
"ไม่กินเหรอ?"
"หรือว่าลูกแมวจะไม่ชอบกินนม"
คนตัวเล็กบ่นพึมพัม ดวงตาสีใสมองนมสีขุ่นใน ถ้วยสลับกับลูกแมว ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นพร้อมร่างสูง ทรุดลงนั่งข้างกาย
“เปล่าหรอกครับ”
“เจ้าเหมียวน้อยตัวนี้กำลังกลัวน่ะ"
ทาเคชิเอ่ยขณะย่อตัวลงนั่งกอดเข่าที่ข้าง ๆ คนตัวสูง แววตาสีสวยสบสายตากับฮารุโกะครู่หนึ่ง แล้วหันไปหาแมวน้อยตัวสีขาวพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ”
"เธอคนนี้ไม่ทำอะไรเธอหรอก”
บอกแบบนั้นด้วยเสียงทุ้มนุ่นอ่อนโยน คนผมดำรู้ว่าถ้าเป็นเขาพูดล่ะก็ เจ้าเหมียวตัวน้อยคงจะเข้าใจและคลายความกลัวลง และก็อย่างที่คาด ลูกแมวสีขาวค่อย ๆ ก้าวออกมาจากลังกระดาษ ก้มลงกินนมจืดที่ฮารุโกะเทเอาไว้ให้
"นายคุยกับแมว?"
ฮารุโกะถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทาเคชิสะดุ้งเฮือก
"อ๊ะ เอ๊ะ เอ่อ ผม...”
แย่ละสิ
ลืมตัวไปเลย...
ถ้าความไม่แตกก็ถูกมองว่าเป็นคนประหลาดแหง
"แค่พูดไปเรื่อยน่ะครับ"
ว่าจบก็หัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน ดวงตาสีสวย หลุบมองต่ำ แอบเหลือบสังเกตคนข้างกายด้วยแววระแวดระวัง
ไม่ได้ ความจะแตกไม่ได้ จะโดนมองว่าประหลาด ก็ได้ แต่ความจะแตกไม่ได้
"นั่นสินะ”
"จริงๆ ฉันสามารถสื่อสารกับสัตว์วิเศษได้น่ะ แต่กับสัตว์ทั่วไปแบบนี้ ฉันกับสื่อสารไม่ได้ซะงั้น"
คนตัวเล็กตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนเธอจะยิ้มออกมา น้ำเสียงนุ่มเย็นเฉกเช่นมันเป็นเรื่องปกติ ขณะที่มือเรียวยกลูบหัวลูกแมวตัวเล็กตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
"เอ๊ะ? "
"กับแมวที่บ้าน ฉันก็สื่อสารไม่ค่อยได้น่ะ แต่เหมือนมันจะเข้าใจฉันมากกว่านะ"
"อ้อ...เอ๋!?"
ทาเคชิส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจนิดหน่อย ใครจะไปคิดว่าเธอจะบอกความสามารถพิเศษตัวเองตรงๆ แบบนี้
ทาเคชิผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้มองว่ามันแปลกหรือประหลาด ความกังวลที่โผล่ขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มจอมคิดมากจึงถูกชะล้างไป
"เอ่อ...คุณมาซากิ บอกผมแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอครับ"
"ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่า ฉันสามารถบอกเรื่องนี้กับนายได้"
แล้วก็เงียบ... ความเงียบชวนอึดอัดโรยตัวลงมา ปกคลุม ไร้ซึ่งเสียงใดระหว่างเขาสองคน ทาเคชิอึกอักลังเลที่จะเอ่ยปากพูดออกไป หยาดน้ำค้างคู่สวยชำเลืองมองใบหน้าเล็กของอีกคน -ใบหน้าเรียบนิ่งยากจะคาดเดาความคิด
รู้สึกว่าทุกคำที่จะเปล่งเสียงนั่นหนักเหลือเกิน อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะมาคุยกับคุณมาซากิให้รู้เรื่อง แต่พอถึงเวลาจริงกลับลังเล...
ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนข้างกายไม่ได้น่ากลัวหรือมี พิษมีภัยอะไรอย่างที่เคยคิดเลยสักนิด
ทั้งที่รู้แบบนั้นแท้ ๆ แต่ทำไม.
ไม่สิ
ไอ้ที่ว่ารู้ว่าแท้จริงคุณมาซากิเป็นคนยังไง มันคือ ตอนที่เธอคนนี้อยู่กับโปโปะ
แต่กับคุโระ ทาเคชินั่นมันก็อีกเรื่อง
แม้จะรู้ว่าอีกคนไม่ได้มีเจตนาร้ายและหมายจะผูกมิตรด้วย แต่มันก็ยังอึดอัด...และลังเลที่จะพูด
บางทีอาจเพราะทาเคชิกำลังกลัว
ที่ผ่านมาเขามักจะเว้นระยะห่างกับทุกคนรอบตัว เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะกลัวว่าหากมันใกล้เกินไป ใกล้พอที่เขาอยากจะรักษาและยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์เหล่านั้นไว้ ถ้าคนเหล่านั้นเกิดรู้ความจริงของเขาเข้าก็จะรังเกียจ จะกลัว และจะเปลี่ยนไป
ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาที่ประสบพบ ได้ในหนึ่งชั่วชีวิตของมนุษย์ บางทีมันก็เหมือนสายลม โชยอ่อน พัดผ่านมาทักทายและหายจากไป แต่บางครา มันก็เหมือนพายุโหมกระหน่ำ รุนแรง สาดซัด เมื่อเคลื่อนจากไปก็ทิ้งเอาไว้ซึ่งบาดแผล และทาเคชิกลัวความเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกับพายุนั่น
หากคุณมาซากิเกิดได้รู้ความลับและความจริง ของเขาล่ะ?
ความจริงที่ว่าเขาเป็นครึ่งคนกลายเป็นแมวได้... แถมยังเป็นแมวที่ตัวเองเก็บไปเลี้ยง
จะกลัวหรือเปล่า?
จะรังเกียจหรือเปล่า?
จะทอดทิ้งเขาไว้หรือเปล่า?
ถ้าได้เป็นเพื่อนกัน เขาจะต้องเสียเพื่อนไปหรือเปล่า?
เรื่องแบบนั้น ทาเคชิกลัวมันไปทุกส่วนของหัวใจ
เพราะเคยสูญเสียมาแล้ว จึงไม่อยากจะสูญเสียไปอีก
ไม่ได้รับแต่แรกเลยยังจะดีกว่า
“คุโระคุง”
เด็กสาวตัวเล็กเอ่ยเรียกหลังจากรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยคำขอโทษกับอีกคน ดวงตาสีใส หันไปข้างกายที่รับรู้ว่ามีอีกคนอยู่ แต่เมื่อมองไปก็พบเพียงความว่างเปล่า
ทาเคชิไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ทาเคชิถอนหายใจ
ทั้งที่รวบรวมความกล้าไปจนนั่งข้าง ๆ อีกคนได้ แต่สุดท้ายก็วิ่งหนีออกมาก่อนจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง
เพราะความกลัวในวินาทีสุดท้าย
จู่ ๆ ก็เกิดกลัวขึ้นมาซะอย่างนั้น ไร้สาระสุด ๆ เลยเนอะ
ทั้งที่ตั้งใจแล้วแท้ ๆ เลยนะว่าอยากจะขอโทษแล้ว -เป็นเพื่อนกัน
แต่ก็- นั่นละ เป็นความรู้สึกที่แสนย้อนแย้ง อยากจะเป็นเพื่อนด้วย แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะได้รับหรือหยิบยื่นไมตรีไปให้ใคร
ไม่เข้าใจเลยสักนิด
"น่าสมเพชจริง ๆ คุโระ ทาเคชิ”
พึมพัมงุบงับท่ามกลางห้องเรียนเวลาพักกลางวัน ปฏิเสธมื้อกลางวันกับคุณคานาเอะไปเพราะตั้งใจจะไปตามหาและขอโทษฮารุโกะ แต่สุดท้ายก็จบลงที่วิ่งหนีออกมาซะอย่างนั้น
"โธ่เอ๊ย น่าหงุดหงิดชะมัด"
ว่าแบบนั้นแล้วก็จะเอาหัวโขกกับโต๊ะแข็ง แต่สัมผัสที่ได้กลับไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บเพราะหัวกระแทก แต่เป็นสัมผัสของมือที่มารองหัวเอาไว้ไม่ให้โดนโต๊ะ
ทาเคชิเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของมือแบบงง ๆ
“ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็เจ็บหรอก”
เสียงที่คุ้นเคยดังบอก ดวงตาสีฟ้าสวยเบิกกว้าง เมื่อคนตรงหน้าคือผู้ที่เขาวิ่งหนีมา –มาซากิ ฮารุโกะ
"ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม? *
ฮารุโกะถามแบบนั้น ทาเคชิพยักหน้าหงิกหงัก ก้มหน้างุดเพราะความอาย ก็โดนเห็นตอนทำตัวแปลก ๆ ชะได้นี่นา
พอเห็นท่าทางตอบรับจากอีกคน เด็กสาวตัวเล็กก็ลากเก้าอี้มานั่งที่ฝังตรงข้ายโต๊ะของทาเคชิ
ทาเคชิอีกอัก เขาทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไร ฮารุโกะนั่งนิ่ง ส่วนเขาก็เหลือบมองอีกฝ่ายอยู่เป็นระยะ ๆ
ในหัวเริ่มอยากจะวิ่งหนีอีกสักรอบแล้วสิ
“นี่ คุโระคุง”
จนเป็นฮารุโกะที่เอ่ยปากทําลายความเงียบก่อน เจ้าของชื่อตอบรับทันควันเหมือนปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ คนตัวเล็กหันมาด้วยสีหน้าซึม ๆ พร้อมดวงตาเขียวขจีใสสบเข้ากับดวงตาหยาดน้ำค้างของเยา
"ขอโทษนะ"
คําขอโทษเสียงอ่อยดังจากริมฝีปากของเด็กสาว แววตาเรียบนิ่งทว่าซื่อตรงเจาะลึก เข้ามาในใจ ทาเคชิชะงักงัน ทำเพียงแค่จ้องใบหน้าได้รูป นั่นแล้วรับฟังนิ่ง ๆ เท่านั้น ทั้งความคิด ความกังวล ความกลัว ทุกอย่างที่เคยฟุ้งกระจายอยู่ในหัวบัดนี้ กลับสงบลงไปราวถูกสะกด จนคนตัวสูงนักประหลาดใจ
"ทั้งเรื่องที่ทำให้นายอึดอัด เรื่องลากนายไปคุยด้วยทั้งทีนายไม่สบายใจ"
“ทุกเรื่องเลย ขอโทษนะ"
ทาเคชิไม่ได้เปล่งเสียงใดตอบรับ เพียงแต่ฟังเด็กสาวตรงหน้าเอ่ยอยู่เงียบ ๆ
"จริง ๆ แล้ว อืม..."
"ฉันไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดคุโระคุงหรอก"
คนพูดอึกอัก เสียงเงียบลงไปราวกำลังควานหาคําพูดที่อยากจะเอื้อนเอ่ย
"อยากเป็นเพื่อนด้วยน่ะ"
เอ่ยออกมาแบบนั้นแล้วดวงตาสีใสที่สบกันอยู่ก็หลบต่ำลงไป ทาเคชิสังเกตเห็นมือข้างนึงของฮารุโกะ ฝ่ามือที่กำเข้าหากันแน่น ท่าทางนั่นราวกับกำลังระงับความประหม่าและความกังวลนะ
แล้วทาเคชิก็ได้เข้าใจ
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่กังวลและวิตกกับเรื่องแบบนี้
คุณมาซากิเองก็กำลังรู้อีกกังวลไม่ต่างกัน
“แต่ที่ผ่านมาคงทำให้เข้าใจผิดไปไกลเลยสินะ"
“ถ้านายจะรู้สึกเกลียดฉันล่ะ ฉันก็เข้าใจ..."
"จากนี้ก็ต่างคงต่างอยู่แบบที่คุโระคุงบอกนั่นละ ดีที่สุด"
“ฉันคงไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับใครหรอก"
สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่เจืออยู่ในน้ำเสียง เจ้าของเรือนผมดำลนลานกับท่าทีเหมือนกับแมวหงอยเช่นนั้น ลองได้เห็นอีกคนทำหน้าแบบนี้แล้ว ใครมันจะใจร้าย เกลียดได้ลงกันเล่า
ถึงไม่ได้คิดจะเกลียดอะไรอีกคนอยู่แล้วก็เถอะ
แต่ท่าทีแมวหงอยชวนใจอ่อนแบบนั้นมันขี้โกง ชะมัดเลย!
“ไม่เลยครับ มะ ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ”
“ตอนนั้นผมเข้าใจผิดนี่นา ผมก็ไม่ได้เกลียดคุณมาซากิเลยนะ"
"โทษนะที่พูดจาแบบนั่นใส่ ตอนที่ดาดฟ้า"
"ขอโทษนะ ที่บอกไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับใครนั่น อย่าคิดแบบนั้นเลย"
ทาเคชิตอบกลับ ก่อนจะหลบสายตาลงอย่างรู้สึกผิด กระนั้นก็ยังแอบชำเลืองมองคนเบื้องหน้าด้วย อยากจะรู้ท่าตอบกลับของฮารุโกะ สิ่งที่พบคืออีกคนเองก็กำลังทําหน้าไม่ต่างกันจากเขา
"ไม่หรอก ฉันผิดเองทั้งหมดนั่นละ คุโระคุงอย่าขอโทษเลย"
ฮารุโกะพูดตอบกลับมาด้วยความรู้สึกผิดเช่นเดียวกัน ในหัวพลันย้อนนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกับเพื่อนร่วมห้องตัวสูงคนนี้ แต่พออีกคนได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นมาพรวดพราด พร้อมสีหน้าไม่พอใจ
"ไม่ใช่สักหน่อย ผมก็ผิดเหมือนกัน อย่าโทษตัวเองคนเดียวสิครับ”
"ทั้งเข้าใจเธอผิด แถมยังพูดจาไม่ดีใส่ จะบอกว่าผมไม่ผิดได้ยังไง"
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันต่างหากที่ผิด
"ลากนายขึ้นไปทั้งทีนายไม่สบายใจจะคุยด้วย นายจะโมโหไล่ก็ไม่แปลกนี้ ดูยังไงก็ฉันก็ผิดเต็ม ๆ"
คนผมดำบอกพร้อมทำหน้ามุ่ย ส่วนฮารุโกะก็ปฏิเสธสหน้าซึม ไม่ว่าจะนึกยังไง เรื่องในวันนั้นก็เป็นความผิดของเธอเต็มประตู
"คุณมาซากิไม่ต้องพูดเลยนะครับ! ไม่ต้องทําหน้าเศร้าเลยด้วยนะ! ผมเองก็ผิด"
แต่ทาเคชิไม่ยอม- คิ้วสองข้างขมวดเป็นปมใหญ่ แถมใบหน้าเด็กหนุ่มก็ดูไม่ลดละสุด ๆ ราวกับจะย้ำว่าตนก็ผิดเช่นกันกับเขาให้ได้
ดวงตาสีสวยจ้องเขม็งจนฮารุโกะรู้สึกทำตัวไม่ถูก เหมือนกับถ้าเขาไม่ยอมรับว่าอีกคนก็ผิด เจ้าตัวก็จะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้อย่างนั้นละ ซึ่งฮารุโกะไม่เข้าใจเลย
ไม่เห็นต้องมารู้อีกผิดด้วยเลยนี่นา จะกล่าวโทษเธอต่อก็ได้ที่ทำตัวแบบนั้นใส่ ไม่มีใครมาว่าหรอก
"อ๊ะ.."
"อะ.."
จนเสียงอุทานสองเสียงดังขึ้นเบา ๆ เมื่อเด็กสาวรู้ว่าตัวเองกำลังทําอะไร ขณะที่ดวงตาสองคู่กำลังสานประสบ ชั่ววินาทีนั้นมีเพียงความเงียบ และพวกเขาเพียงสองคนเท่านั่น
"อุ๊บ ฮะ ๆ ฮ่า ๆ !"
แล้วก็เป็นทาเคชิที่หลุดหัวเราะออกมาก่อน การเถียงเริ่มต้นและจบลงอย่างรวดเร็ว ฮารุโกะมองเพื่อนร่วมห้องผมดำที่ขำจนน้ำตาเล็ด
“กลายเป็นว่า ทั้งเธอทั้งผม ดันมาเกี่ยงกันยอมรับผิดชะอย่างนั้น"
“พอได้พูดออกไปจนหมด ก็ทำเอาซะที่กังวลก่อน หน้านี้กลายเป็นเรื่องคิดมากไปเลยน้า..."
ทาเคชิบ่นพลางปล่อยยิ้มอย่างสบายใจ มือยกเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเบา ๆ ราวเรื่องที่ปั่นป่วนอยู่ในหัวถูกปลดปล่อยออกไปจนหมดกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่
ไม่รู้ว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีหรือไร แต่ทาเคชิสัมผัสได้ถึงความรู้สึกใหม่ในอก
หัวใจที่เต้นตึกตัก เลือดสูบฉีด กับกรามที่ปวดหน่อย ๆ เพราะการเถียงชวนหัวร่อนั่น
ความรู้สึกนั้นร้องบอกจากด้านในลึก ๆ ว่าไม่เป็น ไร
แม้ว่าความสัมพันธ์นี้จะต้องประสบกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงในสักวัน ขั้นเลวร้ายที่สุดก็กลายเป็นแบบที่เขาหวาดกลัว แต่นั่นก็ไม่เป็นไร
บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เขาก็อยากจะสนุกกับช่วงเวลานี้
ในตอนนี้ทาเคชิรู้เพียงแค่ว่าเขาอยากจะใช้เวลาสนุกสนานไปกับฮารุโกะอีกเท่านั้น และบอกความในใจนั้นออกไป
เพราะแบบนั้นเรื่องที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าน่ะ ช่างมันเถอะ
"ขำอะไรของนายน่ะ...."
ฮารุโกะถามขึ้นมองคนตัวสูงฝั่งตรงข้ามที่กำลังหัวเราะร่า ได้ยินแบบนั้นทาเคชิก็ร้องขึ้นมาเสียงหลง
"หา? เดี๋ยวสิ พูดแบบนั้นแต่คุณมาซากิก็ยิ้มอยู่ ไม่ใช่หรือไงครับ!"
"เหรอ ฉันยิ้มเหรอ? ".
"ใช่สิ เธอยิ้มชัด ๆ เลยนะ!"
"ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย"
พอได้ยินคำทวนถามเหมือนไม่รู้ตัวนั่นแถมยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มขัดกับคําพูดอีก คนผมดำมุ่ยหน้าจนคิ้วย่น นี่มันแกล้งไม่รู้ชัด ๆ เลยเถอะครับ! ทำมาเป็นคีพคูลไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องเมื่อครู่ ทั้งที่ตัวเองก็ยิ้มออกมาเห็น ๆ
แล้วทาเคชินึกขึ้นมาได้
หรือจะกลัวเสียฟอร์มนะ
แบบคุณมาซากิในเวลาปกติน่ะ มักจะให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสมอ ๆ เย็นเฉียบจนรู้สึกเหมือนโดนแช่แข็งเพียงแค่เผลอไปสบตา ถึงเจ้าตัวจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักในหมู่สังคมของนักเรียน ก็ถึงขั้นทีวันไวท์เดย์ ตู้รองเท้าแน่นเอี๊ยดเพราะช็อกโกแลตถูกใส่เต็มตู้ขนาดนั้นเลยละ เรียกง่าย ๆ ก็เป็นสาวฮอตพอตัว ทาเคชิรู้ด้วยว่าอีกคนมีฉายาอีกอย่างเจ้าหญิงน้ำแข็งอะไรทำนองนั้น
กลัวจะเสียฟอร์ม ก็เลยต้องคูลเอาไว้สินะ
เข้าใจละ โธ่เอ๊ย น่ารักจริง ๆ
“นี่ไง! ตอนนี้ก็ยังไม่หุบยิ้มเลย ถ้าเธอไม่เชื่อล่ะก็ ผมจะถ่ายรูปให้ดูเลย"
ทาเคชิบอกเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมจ้องใบหน้าเล็กประดับยิ้มอ่อนโยนนั่น จนกระทั่งรู้ตัวว่าดวงตาเขียวขจีคู่นั้นกำลังจับจ้องมา
“คุโระคุง ไม่กลัวฉันแล้วงั้นเหรอ? "
เอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังเห็นท่าทีที่ดูผ่อนคลายต่างจากตอนแรกของอีกคน ทาเคชิหันมองคนถาม ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะฉีกยิ้ม
“อื้อ จะว่าไปก็ไม่กลัวแล้วละ"
“แบบว่า จริง ๆ แล้ว...เธอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผม คิดนี่นา"
"เป็นคนน่ารักสะมากกว่าด้วย"
คนโดนชมมีใบหน้าแดงระเรื่อน้อย ๆ นั้นทำให้ทาเคชิรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก่อนจะละลักละลำหาคำอธิบาย
“เอ่อ ผม- ผมหมายถึง- ...แบบมันน่ารักในแบบปกติน่ะครับ เอ่อคือ- ก็น่ารักนั่นแหละครับ อ้าก ผมพูดอะไรเนี่ย!"
"อุ๊บ- "
เสียงร้องหลุดหัวเราะที่ดังออกมาจากคนตัวเล็กยิ่งทำให้ทาเคชิอยากเอาหน้ามุดดิน นี้เผลอทำตัวซื่อบื้ออีกแล้ว
"จะพูดออกมาตรง ๆ ก็ได้นี่นา ไม่ต้องพยายามแก้หรอก ฉันก็แค่- ไม่ค่อยโดนคนอื่นชม นอกจากพ่อกับพี่สาวพี่ชายฉันน่ะ ฉันก็เลยเขินนิดหน่อย"
บอกพร้อมกับหลบสายตาของทาเคชิ ท่าทางแบบนั้น ยิ่งทำให้เด็กสาวตรงหน้าน่ารักเข้าไปอีก
ไม่น่าเชื่อ ว่าเราจะได้เห็นคุณมาซากิ ในมุมน่ารักแบบนี้
น่ารักเป็นบ้าเลย
"เอ่อ...ครับ อืม..."
บรรยายกาศความประหม่ากลับมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้แย่เหมือนก่อนหน้า แค่ต่างคนต่างเขิน จนไม่กล้าคุยหรือสบตากัน
"เอ่อ... แล้วก็... อ่า"
เด็กสาวอัมอึ้งเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมือนไม่กล้าพูดออก
"คุณมาซา-"
"ช่วยเรียกฉันว่า ฮารุโกะ! -ทีนะ..."
เสียงที่ดังสวนกลับมา ก่อนที่จะเบาลง เหมือนไม่มั่นใจในคำพูด น่ารักจัง
"ครับ.."
"เอ่อ ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไร"
"แน่ใจนะครับ ฮารุโกะจัง"
ในตอนนี้ฮารุโกะสัมผัสได้ว่า หน้าตัวเองคงเหมือนมะเขื่อเทศแน่ ๆ
อะไรกัน คุโระคุงแบบบนี้ เหมือนไม่ใช่คุโระคุงที่รู้จักเลย ฮารุโกะรู้สึกเขินเกินจะมองหน้าทาเคชิตรง ๆ จึงฟุบหน้าตัวเองลงกับโต๊ะ
"อะไรไปครับ ฮารุโกะจัง งั้นฮารุโกะจังก็เรียนผมว่า ทาเคชิคุงนะครับ"
ทาเคชิที่เห็นฮารุโกะเขินอาย ก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา จึงเอามือเท้ากับโต๊ะ แล้วบอกให้เธอก็เรียกชื่อตนเหมือนกัน ฮารุโกะเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะส่งเสียงตอบ
"ทาเคชิคุงขี้โกง"
บอกด้วยน้ำเสียงติดงอแง แล้ววันนี้ทาเคชิก็ได้รู้เรื่องฮารุโกะอีกอย่างนึงคือ ความขี้อายของฮารุโกะ เขาเองก็ยังแปลกใจที่อีกคนก็มีด้านนี้กับเขา
เฮ้อ จริง ๆ สินะ มันจะมีใครที่ตกหลุมรักคนเดิมซ้ำ ๆ ได้อีกไหม
ยิ่งรู้จักก็ยิ่งชอบมากกว่าเดิม เขาน่าจะเป็นเอามากเลยนะ แต่คนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ก็นั่งอยู่ตรงหน้านี้ไง ทาเคชินึกถึงเรื่องฮารุโกะในหัว พลัน-
นึกถึงภาพฉากการเจอกันวันแรกระหว่างเขา (ตอนเป็นแมว) กับฮารุโกะจังก็ไหลย้อนเข้ามาในหัวเหมือนกรอกเทป ทาเคชิสะบัดหัวหมายจะไล่เหตุการณ์ ปั่นป่วนชวนน่าอายนั่นออกไป แค่นึกขึ้นมาว่าตัวเอง ตอนเป็นแมวโดนจับอาบน้ำก็รู้สึกอายสุด ๆ แล้ว ถึงนั่น จะเป็นตอนเป็นแมวก็เถอะ!!
"จะว่าไป เจ้าเหมียวนี่มาจากไหนกันครับ??"
“เจ้าเหมียวตอนนั้น”
ถามขึ้นมาบ้างระหว่างจ้องมองคนตัวเล็ก หมายถึงลูกแมวที่เขาเจอพร้อมกับฉารุโกะที่มุมอาคารเรียน ฮารุโกะลุกนั่งตรงมองคนถามนิดหน่อยแล้วตอบ
“เจอระหว่างทางมาโรงเรียนน่ะ"
"นอนขดอยู่ในกล่องข้าง ๆ ถังขยะ คงจะโดน ทิ้ง...."
“ปล่อยไว้ก็น่าสงสาร เลยพามาโรงเรียนด้วย"
เล่าด้วยเสียงและใบหน้านิ่งเรียบ แต่ทาเคชิสัมผัสได้ถึงความโกรธนิต ๆ จากในน้ำเสียงนั่น
“ทิ้งลูกแมวตัวเล็กแบบนี้นี่นะ..."
“เป็นเจ้าของ ใจร้ายจัง”
เด็กหนุ่มผมดำว่า แต่มันก็น่าโกรธจริง ๆ นั่นละนะ ยังไงการทิ้งลูกแมวที่เป็นความรับผิดชอบของเจ้า มันก็ผิดเห็น ๆ เลยนี่นา