วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

สารรักที่ 6

    "กลับมาแล้ว"


    เสียงเรียบนิ่งดงขึ้นทันทีที่สองเท้าของเด็กสาวก้าวเข้ามาในบ้าน แม้จะรู้ว่าคงไม่มีเสียงตอบรับกลับ แต่ กระนั้นก็ส่งเสียงออกไปตามความเคยชิน ฮารุโกะถอดรองเท้าวางบนชั้นวาง ทอดสายตาเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่คงไม่มีใครอยู่ตามเคย

    

    พลันดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบกับบุคคลที่ไม่คาดคิด


    "ฮารุโกะเหรอ? กลับมาแล้วหรอลูก"


    มาซากิ อะมาเนะ บุคคลผู้เป็นทั้งพอและผู้ปกครอง ยืนตระหง่านอยู่ในห้องโถง น้ำเสียงทุ้มต่ำร้องทักลูกสาวคนเล็ก มือกำลังจัดแจงสูทด้วยท่าทางเร่งรีบ


    "คุณพ่อ!"


    "ทําไมวันนี้กลับมาไวล่ะคะ? "


    เอ่ยถามเสียงใส รีบตรงปรี่ไปหาผู้เป็นบิดา ดวงตาใสจ้องมองบิดาอย่างดีใจ


    "พ่อกลับมาเอาของกำลังจะออกไปทำธุระต่อ กินอะไรหรือยัง?”


    อะมาเนะพูดพลางหยิบของกุกกัก ก่อนจะเงย หน้าขึ้นมามองผู้เป็นบุตรสาว


    "ยังค่ะ คุณพ่อคะ"


    เด็กสาวตอบรับ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดผู้เป็นบิดา คนเป็นพ่อเซเล็กน้อย ก่อนจะสวมกอดกลับแล้วลูบหัวลูกสาว


    "พ่อขอโทษนะ ที่ปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว"


    “ทุกช่วงกลางวันจะมีแม่บ้านเข้ามา ถ้าตอนเย็นลูกอยากกินอะไรก็เขียนโน้ตเอาไว้แล้วกัน”


    คนเป็นพ่อบอกกล่าว อะมาเนะมีลูกอยู่สี่คน แต่บ้านหลังใหญ่แห่งนี้มีเพียงเขาและลูกสาวคนสุดท้องเท่านั้นที่อาศัยอยู่ เดิมทีเคยมีลูกสาวคนรองอย่างมาซากิ ฟุยุมิอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เธอก็ต้องออกไปมีชีวิตของตัวเอง


    ไม่ใช่เพียงแค่ฟุยุมิ จะพี่คนโตอย่างโทยะ หรือ ลูกชายคนกลางอย่างนัตสึโอะก็ล้วนเดินหน้าออกไปแล้วเช่นกัน


    เด็กสาวเงยหน้ามองบิดา ก่อนจะมุ่ยหน้าใส่ เธอคาดหวังว่าอยากจะให้ผู้เป็นพ่อของเธอ จะอยู่กับเธอทุกหลังเลิกเรียนหรือทุกเสาร์อาทิตย์ แต่มันก็ไม่มีหวัง


    อะมาเนะรู้ว่าลูกสาวกำลังคิดอะไร จึงลูบหัวเธอเป็นการปลอบโยน ที่ตนไม่สามารถทำตามที่ลูกสาวหวังไว้ได้


    "แล้วชมรมคิวโด เป็นยังไงบ้าง? "


    "ก็เรื่อยๆ ค่ะ"


    ถามถึงงานชมรมของลูกสาว คนโดนถามตอบพลางพองแก้มเง้างอนใส่ผู้เป็นพ่อ อาเนะมะเห็นลูกสาวเริ่มงอแงแล้วจึงบีบจมูกให้หายหมั่นเขี้ยว


    "การทำสิ่งที่ชอบมันก็เป็นเรื่องดี แต่อย่าให้มันมากระทบกับการเรียนเราด้วยนะ"


    "ใกล้จะถึงช่วงสอบแล้ว อย่าลืมอ่านหนังสือด้วยล่ะ"


    "รับทราบครับผม"


    เด็กสาวทำท่าตะเบ๊ะ ตอบรับอย่างขันแข็ง ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้น จึงยี้หัวลูกสาวให้กับความซนของเธอ


    “เอาล่ะ พ่อต้องไปแล้ว นี้ก็ได้เวลาแล้ว อยู่บ้านดีๆ นะ พ่อสัญญาจบโปรเจคนี้เมื่อไหร่ พ่อจะอยู่กับลูกตามสัญญา"


    อะมาเนะมองนาฬิกา พอเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงผละจากอ้อมกอดลูกสาว ให้คำสัญญาว่าตนจะหาเวลามาอยู่กับลูกสาว ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากของลูกสาว


    “คืนนี้คงจะไม่ได้กลับ ไม่ต้องรอนะ"


    เด็กสาวเดินมาส่งบิดาที่ประตู อะมาเนะจัดแจงตัวเองแล้วขึ้นรถขับออกไป ไม่ลืมหันมาโบกมือลาลูกสาว เด็กสาวโบกมือกลับ จนรถหายออกไปจากสายตา เธอจึงกลับเข้าบ้าน


    “เฮ้อ เงียบจังนะ บ้านหลังนี้"


    พึมพัมกับตัวเองเสียงเบา รู้สึกเหมือนบ้านหลังนี้มันใหญ่กว่าเดิม พอเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว เด็กสาวเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นหาอะไรมากินรองท้อง


    ก่อนจะเดินเข้าห้องตนเอง แต่ต้องผ่านห้องของพี่ชายพี่สาว


    ดวงตาใสจ้องมองไปยังห้องว่างที่อดีตนั้น เคยเป็นของพี่สาวและพี่ชายทั้งสองคน


    สักวันห้องของเธอก็คงจะว่างเปล่าเฉกเช่นห้อง นอนเหล่านั้นรึเปล่านะ


    เด็กสาวหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นห้องนอน ก่อน สังเกตเห็นถึงขยะที่บัดนี้ว่างเปล่า


    นึกย้อนคําพูดของผู้เป็นพ่อ แม่บ้าน คุณพ่อคงจ้างมา คงเข้ามาทําความสะอาดจนเรียบร้อยตามหน้าที่ 


    พี่ ๆ ของฮารุโกะทุกคนออกจากบ้านไปหมดแล้ว พี่โทยะคือคนแรกที่ออกไป เจ้าตัวตั้งใจสมัครงานในที่ที่ไกลโพ้นจากบ้าน พี่นัตสึโอะคือคนที่สอง และล่าสุดคือพี่ฟุยุมิ


    ถึงจะรู้ก็เถอะ ว่าพวกพี่ๆ เขามีเหตุผล แต่พวกเขามาหากันบ้างไม่ได้หรอ


    เด็กสาวบ่นตัดพอกับตัวเองในใจ บ้านที่กว้างใหญ่นี้ มันเคยมีเสียงหัวเราะ มีความสุข ไม่ใช่ความว่างเปล่ากับเงียบเหงาแบบนี้


    ไม่ชอบเลย ไม่อยากอยู่คนเดียว


    เมี้ยว


    จนเสียงเล็กร้องดังออกมาจากสวนที่ติดกับห้องนอน ฮารุโกะขมวดคิ้ว -ค่อนข้างมั่นใจว่าที่ได้ยินคือเสียงของลูกแมว เด็กสาวยันตัวลุกขึ้นยืน เดินไว ๆ ไปเปิดประตูบานเลื่อนออก ดวงตาเขียวขจีใสเบิกกว้าง รอยยิ้มกว้างเข้ามาแทนที่ใบหน้าหงอย


    "โปโปะ!"


    เด็กสาวโพล่งออกมาอย่างยินดี มือเรียวอุ้มเจ้าเหมียวตัวน้อยขึ้นมา ลูกแมวขนสีดำสนิท หยาดน้ำค้างคู่โต จ้องมองเธอมาตาแป๋ว


    ฮารุโกะพึ่งจะรู้ตัวว่าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว


    "หายไปไหนมาตั้งนาน ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า อยู่สบายไหม? "


    ถามระรัวอย่างเป็นห่วง ก้อนขนในมือส่งเสียงร้องเหมียวเหมือนจะตอบรับ ใบหน้าเล็กยิ้มจาง ๆ ก่อนจะพาลูกแมวตัวเล็กเข้ามาด้านใน หยาดน้ำค้างคู่สวยเงยมองสีหน้าที่ดูสดชื่นขึ้นของคนตัวเล็ก


    ทาเคชิปล่อยยิ้มออกมาน้อย ๆ


    หายเหงาแล้วสินะ


    โดนวางลงกับพื้น ฮารุโกะหย่อนตัวลงนั่งตามที่เบื้องหน้า รู้สึกสบายใจ ราวความเหงาที่มีในอกมาจนถึงเมื่อครู่ถูกพัดปลิวหาย


    มือยื่นไปลูบหัวเจ้าเหมียวขนดำตัวเล็ก โปโปะซุกไซร้หน้ากับมือนั่นเหมือนจะอ้อน ส่วนฮารุโกะหัวเราะออกมาเบา ๆ


    ตั้งแต่ยังเล็ก ทาเคชิไม่เคยคาดหวังอะไรจากอีกตัวตนนึงของเขา ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องดีๆ เคยตั้งคําถามด้วยซ้ำ ทําไมเขาถึงแตกต่าง ทําไมไม่เป็นเหมือนใครอื่น ทําไมจึงมีแต่เขา-ที่ต้องประสบเรื่องราวเช่นนี้


    ทาเคชิเคยเกลียดเจ้าแมวขนดำตัวนี้ และรังเกียจตัวเองมากเหลือเกิน


    จึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุแห่งรอยยิ้มของใครสักคน


    พอได้รู้แบบนั้น อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด


    "...ขอโทษนะที่ตอนนั้นขังเธอไว้"


    "ทั้งที่น่าจะรู้ดีแท้ ๆ ว่าการถูกขังเอาไว้มันรู้สึกยังไง"


    "คงจะอึดอัดสินะ ก็เลยหนีไปแบบนั้น”


    “ไม่ต้องห่วง จะไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้วละ"


    เด็กสาวตัวเล็กเอ่ยคำขอโทษ พลางลูบหัวขนสีเข้ม ทาเคชิกะพริบตาปริบ นั่งนิ่งปล่อยให้ฮารุโกะลูบหัวตนต่อไปแบบนั้น


    "จากนี้ไป โปโปะจะเข้าออกตอนไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ตามเธอใจเลย"


    “คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังก็ได้"


    เสียงนุ่มยังดังต่อ หยาดน้ำค้างคู่สวยเงยมองใบหน้าเล็กจากด้านล่าง รอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนที่อีกคนส่งมาให้ทำเอาความรู้สึกฟูนุ่มเอ่อล้นขึ้นมา ในอกเจ้าเหมียวหลบสายตาลงต่ำ


    มีอิทธิพลจริงๆ 


    มาซากิ ฮารุโกะ ทำให้เขาหวั่นไหวได้ทุกเวลาจริงๆ


    แต่ว่านะ เธอในฐานะเพื่อนร่วมที่เคยรู้จัก กับตอนนี้ มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน 


    ในฐานะเพื่อนร่วมห้อง เธอดูเป็นคนเก็บตัว ไม่อยากยุ่งกับใคร กับตอนนี้ เธอช่างอ่อนโยน ใจดี 


    เธอ- เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ


    "จริงสิ หิวไหม?"


    เอ่ยถามเหมือนนึกขึ้นได้ เด็กสาวยันตัวขึ้นไปหยิบอะไรกุกกัก ทาเคชิชะเง้อคอมองตามร่างเล็กไป ไม่นานฮารุโกะก็กลับมาพร้อมอาหารแมวกับชามอาหารสีฟ้าอ่อน


    "อาหารแมวที่ฉันซื้อมาน่ะ"


    "แต่ไม่รู้ว่าเธอชอบอะไร ก็เลยหยิบอันที่ดูน่ากินแล้วก็เธอน่าจะชอบ"


    บอกขณะเทอาหารเม็ดสำหรับลูกแมว ทาเคชิเหวอ เมื่อซองอาหารแมวในมือของอีกคน นั่นมันเป็นของเกรดพรีเมียมจากยี่ห้อดังอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าเหมียวขนดำเบิกตาโพลง ราคาบนชามอาหารแมวตรงหน้า คงจะแพงกว่าค่าอาหารของเขาในหนึ่งสัปดาห์เป็นแน่


    "เอ้า กินสิ.."


    พอเทเสร็จก็เลื่อนชามสีฟ้าอ่อนมาตรงหน้า คนในร่างแมวอ้าปากค้าง ประหนึ่งเห็นแสงเรืองรองแวบวาบออกมาจากอาหารแมวตรงหน้า


    นี่มันอะไรกัน


    เขาตอนเป็นแมวดูมีคุณภาพชีวิตดียิ่งกว่าเขาตอนเป็นคนอีก!


    เริ่มรู้สึกอิจฉาตัวเองในร่างเจ้าเหมียวขึ้นมาซะแล้ว


    "ฉันซื้ออาหารแมวมาติดไว้ เผื่อเธอกลับมาเพราะหิว"


    "แล้วก็กลับมาจริงๆ ด้วย"


    "ยินดีต้อนรับกลับนะ โซบะ


    ฮารุโกะพูด ยกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง ดวงตาเขียวขจีใสมองใบหน้าลูกแมวตัวเล็กที่ดูนิ่ง ๆ ไป


    ทาเคชิลอบกลืนน้ำลายดังเเอื๊อก ส่งเสียงร้องเหมียวออกไปหนึ่งที่เป็นการตอบรับ แล้วหันกลับมาจ้องอาหารแมวตรงหน้า


    ไม่ได้หิวหรืออยากกินอะไรเลยทั้งนั้น


    ตรงกันข้านเลยต่างหาก

    

    ทำไมเขาที่เป็นมนุษย์ต้องมากินอาหารเม็ดแมวด้วยเล่า!


    ไม่กิน ไม่กินเด็ดขาด


    นึกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่นแล้วก็ผละหน้าออกจากชามอาหาร ไม่ว่าจะหัวเด็ดตีนขาดยังไง เขาก็จะไม่กินอาหารเม็ดสีน้ำตาลเข้มนี้เด็ดขาด


    ใช่แล้ว เขาเป็นมนุษย์นี่น่า ถึงจะอยู่ในร่างแมวแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแมวเสียหน่อย!


    “ไม่กินเหรอ?"


    “หรือว่าจะไม่ชอบ ฉันออกไปซื้อใหม่ให้ได้นะ”


    พอเห็นท่าทีของลูกแมวตัวเล็ก ฮารุโกะก็บอกขึ้นมาเสียงค่อย ดวงตาใสเจือปนความผิดหวังเอาไว้ทำเอาทาเคชิรู้สึกผิดขึ้นมาที่ปฏิเสธน้ำใจของเธอคนนี้


    เด็กหนุ่มตัวสูงในร่างเจ้าเหมียวอยากจะยกมือ ขึ้นมายีหัวของตัวเองสักที ยังไงก็ไม่อยากจะกิน อาหารแมวเม็ดโตตรงหน้านี่นา แต่ว่าพอเห็นสีหน้าผิด หวังที่ไม่เคยเห็นแบบนั้นแล้วมันก็...


    แล้วมันก็ใจอ่อนยวบยาบยังไงละ! ได้มาเห็นคนที่ชอบมานั่งจ่องทําหน้าจ๋อย เพราะแมวไม่ยอมกินอาหารที่ตัวเองซื้อให้แบบนี้ มีแมวที่ไหนจะไม่ใจอ่อนบ้างกัน


    โธ่เอ๊ย! ก็ได้ แค่กินก็พอใช่ไหมล่ะ!


    โพล่งขึ้นมากับตัวเองเสียงดังสนั่นอยู่ในหัว ทาเคชิจดจ้องอาหารเม็ดที่เรียงรายเหมือนกำลังเชื้อเชิญให้กิน แล้วก็กลืนน้ำลายอีกรอบ


    อาหารแมวนี่มันจะเท่าไหร่กันเชียวเถอะ มันก็แค่อาหารนี่


    ขึ้นชื่อว่าอาหารก็ต้องกินได้


    เพราะงั้นจะอาหารแมวหรืออาหารคนก็กินได้เหมือนกันแหละน่า


    ตัดสินใจก้มลงกินอาหารในชามสีอ่อน ถึงทุกตอนเย็นจะต้องกลายร่างเป็นแมว แต่สำหรับทาเคชินี่เป็นครั้งแรกที่ได้กินอาหารแมวแบบนี้ กลิ่นเค็มผสมปนเปอยู่กับรสจืด รสชาติอาหารเม็ดสีน้ำตาลอ่อนก็ไม่ได้แย่อย่างที่ทาเคชิคิด บางทีสำหรับแมวแล้ว นี่อาจจะเป็นอาหารอันโอชะ โอเค มันก็จัดอยู่ในระดับที่กินได้ แต่หากถามว่าอยากจะกินอีกไหม เขาตอบได้ทันทีว่าไม่ดีกว่า


    "กินให้อร่อยนะ"


    พอเห็นว่าเจ้าเหมียวก้มลงกินอาหารที่ตนเอามาให้ ความดีใจก็ล้นขึ้นเต็มอก


    "แล้วก็- ยินดีตอนรับกลับบ้าน"


    เด็กสาวพูดต่อ ใบหน้าเล็กยกยิ้มขึ้น มือเรียวของฮารุโกะลูบหัวลูกแมวตัวเล็กอย่างยินดี


    ทาเคชิลอบมุ่ยหน้า


    ทว่าไม่ใช่เพราะอาหารแมว


    แต่เป็นเพราะความรู้สึกอบอุ่นที่มันยุบยิบอยู่ภายในหัวใจ


    “นี่ แมวเข้าใจที่คนพูดหรือเปล่า? "


    "แต่บางทีฉันก็รู้สึกนะว่าโปโปะเข้าใจฉันจริง ๆ "


    ชักมือกลับไปแล้วพูด เด็กสาวตัวเล็กยกเข่าทั้งสองขึ้นมากอดเอาไว้ จดจ้องแมวน้อยกินอาหาร ทาเคชิเงยหน้าขึ้นมองดวงตาใสสีสวย บัดนี้เก็บกัก ความเหงาเอาไว้จนล้นเอ่อ


    เมี้ยว


    ส่งเสียงร้องตอบรับพร้อมลุกเดินไปนั่งอยู่ตรงหน้าฮารุโกะ พอเห็นดวงตากลมโตของเจ้าเหมียวตัวน้อย กําลังมองมา ฮารุโกะก็หลุดยิ้ม


    “เป็นแมวนี่ดีหรือเปล่า”


    “มีเรื่องมาให้คิดจนน่าปวดหัวเหมือนกันไหม?”


    คนเล็กเอ่ยถาม ทาเคชิเอียงคอกับคําถามไร้ที่มานั่น ในหัวพยายามนึกหาคำตอบให้ ถ้าให้ตอบจากมุมแมว- แต่เขาเองก็ไม่ใช่แมวแต่ตั้งแต่เดิมด้วยนี่สิ ตอบไม่ได้หรอก ลองไปถามพี่แมวน้าแมวให้ดูดีไหมนะ


    “ช่วงนี้ฉันน่ะนะ มีแต่เรื่องเข้ามาจนเหนื่อยเลยละ"


    ฮารุโกะว่าออกมาต่อพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ พลัน- เกยคางบนเข่าสองข้างที่กอดเอาไว้ ใบหน้าเล็กที่มักจะเรียบนิ่งยามมองไป บัดนี้กลับเจือจางเอาไว้ด้วย ความเศร้าเคล้ากับความโดดเดี่ยว


    เมี้ยว


    ทาเคชิส่งเสียงตอบอีกครั้งรู้สึกราวกับบนบ่าของเธอตรงหน้าจะแบกรับบางอย่างหนักหนาเอาไว้ เขาไม่เคยรู้ และไม่เคยคิดถึงมาก่อน


    เหมือนได้เข้ามากำแพงหนาที่อีกคนก่อล้อม


    จึงได้เห็นว่าด้านในนั้นโดดเดี่ยวและเปราะบางแค่ไหน


    "ถ้าทำให้รำคาญก็โทษทีนะ"


    "พอพี่ฟุยุมิไม่อยู่มันก็เหงานิดหน่อย"


    “ถึงจะบอกไปเองก็เถอะว่าไม่เป็นไร-"


    เด็กสาวตัวเล็กเว้นเสียง ก่อนดวงตาสีใสจะหรี่ลง รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า เหลือเพียงความโดดเดี่ยวที่ยังคงเด่นชัด


    "...โกหกน่ะ จริง ๆ แล้ว–เหงามากเลยต่างหาก"


    "ดูสิ ก็เหงาจนต้องมานั่งคุยกับแมวเลยนี่นา"


    เอ่ยถ้อยคำแสนเศร้าพลางแค่นหัวเราะเสียงค่อย


    "บ้านที่มีแค่คุณพ่อ แต่ท่านก็ไม่ค่อยว่าง... กับฉัน เอาเข้าจริงก็เหมือนอยู่คนเดียวนั่นละ"


    “คุณพ่อเขาก็ไม่ค่อยว่าง พวกพี่เขาก็มีชีวิตของพวกเขา"


    ฮารุโกะเอนตัวเองเข้ากับกำแพงห้องทั้งที่มือทั้งสองยังกอดเข่าเอาไว้ ปล่อยให้ไออุ่นจากอ้อมกอดของตัวเองช่วยปลอบประโลม แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมาก เบาบางเหมือนกับลมหายใจอุ่นที่รดมากลางห่าหิมะโหม แต่มันก็คือไม่กี่วิธีที่เด็กอายุสิบเจ็ดปีคนนึงพอจะทำเพื่อตัวเองได้


    "ฉักบอกพวกเขาไม่ได้หรอก ไม่อยากให้ต้องมาค่อยกังวลค่อยห่วง"


    “ทำได้แค่มานั่งบ่นกับเธอนั่นแหละ"


    บอกอย่างเศร้าหมอง แต่ก็ไม่อยากเพิ่มภาระให้พวกเขา แค่นี้มันก็ทุกคนก็เหนื่อยมากแล้ว ที่แต่เธอตั้งหากที่ต้องเข้มแข็ง จะมาอ่อนแอไม่ได้ บอกกับตัวเองในใจแล้วฟุบหน้ากับเข่าตัวเอง


    ทาเคชินิ่งงัน


    ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรมาอยู่ตรงนี้หรือไม่ ฮารุโกะปริปากเล่าความในใจทุกอย่างเพราะไม่รู้ว่าลูกแมวที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือเขา บางทีเขาอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ฟังเรื่องพวกนี้


    ทางที่ดีคือเขาควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำตัวราวไม่ได้มาอยู่ ณ ที่ตรงนี้


    แต่ว่า—


    แต่ว่าพอได้รู้เรื่องราวและความหมองเศร้าที่ฮารุโกะกักเก็บ


    มันก็ยากเหลือเกินที่จะปล่อยผ่าน


    เหมือนกับตอนนั้น ตอนที่เธอพาเขามาบ้านหลังนี้ครั้งแรก


    ตัวผมในตอนนี้ จะพอช่วยอะไรเธอได้บ้างรึเปล่านะ?


    "เรื่องคุโระคุงก็อีกอย่าง..."


    จนได้ยินชื่อตัวเองลอยมากระทบหู ทาเคชิก็สะดุ้งโหยง หยาดน้ำค้างคู่สวยเบิกกว้าง ลูกแมวตัวเล็กร้องเมี้ยวตอบรับ ขณะที่ในใจกำลังสั่นหงึก


    -โกรธ ต้องโดนโกรธแหง ๆ


    ก็แหงละ ถึงจะโดนพูดไม่ดีใส่ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไปพูดไม่ดีกลับได้เหมือนกันนี่


    “ฉันผิดเองนั่นแหละ เรื่องหมอนั่น"


    จนประโยคที่ไม่ได้คาดคิดดังขึ้นต่อ แมวตัวน้อยกะพริบตาปริบ จดจ้องเด็กสาวตรงหน้า ด้วยความตะลึงงัน- ผิดคาด


    "...ฉันมันปากเสียน่ะ”


    "อยากไปขอโทษแต่ก็ไม่กล้าสู้หน้า"


    เสียงนุ่มผะแผ่ว รอยยิ้มจืดเจื่อนเปื้อนอยู่บนใบหน้ารู้สึกผิด ฮารุโกะถอนหายใจยาวออกมาหวังจะให้ช่วยระบายความหม่นหมองที่มี


    “โดนบอกว่าอย่ามายุ่งกันเลย ฉันไปทำให้เขาไม่สบายใจขนาดนั้นเลยสินะ"


    “ฉันไม่ได้ทำเป็นไม่สนใจสักหรอกนะ”


    "แบบว่า...จริง ๆ อยากจะเป็นเพื่อนด้วย”


    เจ้าของร่างขนดำนิ่งงันหลังได้ยินความในใจของอีกคน ดวงตาหยาดน้ำค้างสวยจดจ้องเด็กสาวตัวเล็ก ความรู้สึกผิดถูกผสมเข้ามาด้วยความยินดี พอได้รับรู้ว่าคุณมาซากิเย็นชาอย่างที่เข้าใจ หนำซ้ำ ยังอยากจะผูกมิตรด้วย ทาเคชิก็รู้สึกดีใจจนในอกร้อนรุ่มไปหมด


    “แต่ว่าคุโระคุงคงไม่อยากจะเป็นด้วยหรอก"


    "บางทีคนอื่น ๆ ก็ด้วย แค่ฉันมองนิ่ง ทุกคนก็เตลิดหนีกันหมดแล้วนั่น"


    “ฉันคงไม่ใช่คนน่าคบหาซักเท่าไหร่ พูดก็ไม่เก่ง เข้าหาใครก็ไม่เป็น"


    ฮารุโกะพูดปลง ๆ พลางมองเจ้าเหมียวที่บัดนี้กำลังจ้องเธอตาแป่ว เอื้อมมือไปลูบหัวพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ


    "ขอบคุณที่ช่วยฟังนะ"


    “นอกจากไดจิที่กำลังจะเป็นญาติกัน ก็มีเธอนี่ละ ที่อยู่กับฉัน"


    “ขอบคุณนะ”


    บอกเจ้าเหมียวน้อยทั้งที่ยังลูบหัวเจ้าตัวเล็กไม่หยุด ลูบหัวอีกแล้ว คนผมดำแอบบ่นในใจแบบนั้น แต่ทาเคชิไม่ได้ต่อต้านหรือขัดขืนอะไร กลับดีใจจนปล่อยให้อีกคนทำตามใจอยาก


    คุณมาซากิน่ะ เขาพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว


    ไม่ใช่น่ากลัวอะไร ก็แค่เด็กสาวม.ปลาย ขี้เหงาแต่แสดงความรู้สึกออกมาไม่เก่ง อยากมีเพื่อน แต่ก็ดันสื่อสารได้แย่ ทั้งที่จริง ๆ เป็นคนที่ทั้งอ่อนโยน ใจดี แล้วก็น่ารักมากขนาดนี้


    โธ่เอ๊ย ยิ่งรู้จักก็ยิ่งชอบอีกแล้ว


    แต่ก่อนอื่นเขาเองก็ต้องไปขอโทษคุณมาซากิเหมือนกัน 


    จากนั้นก็จะเป็นเพื่อนกันได้ไหมนะ


    เมี้ยว


    ส่งเสียงออกไปแบบนั้น พลางแปะอุ้งมือเล็กของตนลงบนขาของอีกฝ่าย หลังจากเคลื่อนผ่านชั่วโมงปรับทุกข์ของมาซากิ ฮารุโกะมา ก็อยากจะช่วยคลายความเศร้าของคนตัวเล็กบ้าง แม้จะทำอะไรไม่ได้มากก็ตาม


    เมี้ยว เมี้ยว


    ยังส่งเสียงต่อ พยายามจะปลอบใจ


    "หือ?"


    ฮารุโกะเงยหน้ามองลูกแมวตัวเล็กที่แปะฝ่าอุ้งเท้าค้างไว้แบบนั้น โปโปะส่งเสียงร้องต่อไม่หยุด


    "...ปลอบฉันเหรอ? ”


    "ขอบใจนะ"


    เด็กหนุ่มระบายยิ้มให้เจ้าเหมียวใจดี มือละจากเข่าทีขันไว้ ยกเจ้าตัวเล็กขึ้นอุ้ม หรี่ดวงตาทอแสงจดจ้องหยาดน้ำค้างคู่สวยนั้น


    “ถ้าทุกอย่างมันสื่อออกไปง่ายเหมือนที่คิดก็คงดี”


    พิมพัมพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ โปโปะร้องตอบเสียงเล็ก ใบหน้าของก้อนขนสีเข้มที่พยายามจะส่งยิ้มมาให้ น่ารักเสียจนลำคอหลุดเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิออกมาจากเจ้าเหมียวตรงหน้า


    กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ ลมเย็นแผ่วเบา ใบไม้ เขียวขจี ดอกไม้ที่เริ่มเบ่งบาน


    กลิ่นอายของความเหน็บหนาว ผ่านพ้น


    “โปโปะเนี่ย...เหมือนฤดูใบไม้ผลิมากกว่าฉันอีกนะ"


    ว่าแล้วเด็กสาวก็หัวเราะ เตะจมูกของตนกับเจ้าเหมียวเข้าด้วยกัน จ้องมองหยาดน้ำค้างคู่สวยของเจ้าเหมียวตัวน้อยอย่างเอ็นดู ทาเคชิมองใบหน้าเล็กที่บัดนี้ เปื้อนไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

    

    หัวเราะแล้วน่ารักจังเลยนะ


    ถ้าหัวเราะบ่อย ๆ ก็คงดี


    “ขอบคุณนะ”


    เอ่ย ขอบคุณแล้วกอดเจ้าเหมียวเอาไว้ในอ้อมอก ฮารุโกะทิ้งตัวลงนอน แค่อยู่กับเจ้าเหมียวตัวนี้ก็เหมือนความขุ่นมัวในใจถูกชะล้างออกไปจนหมด แถมยังรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก พอเห็นเจ้าเหมียวนี่ บางครั้งก็ดันนึกถึงเพื่อนร่วมห้องผมดำคนนั้นขึ้นมา


    "เธอน่ะ...เป็นแมวที่แปลกจัง"


    "ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กันเลย"


    ฮารุโกะหลับตาพริ้ม ใบหน้ายังไม่จางรอยยิ้ม


    "แต่ก็..."


    "ได้ไม่ชอบหรอกนะ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สารรักที่ 7

     ทาเคชินั่งมองพระจันทร์ยามเที่ยงคืนจากริมหน้าต่าง      มือหนึ่งยกขึ้นมาเท้าคาง หยาดน้ำค้างคู่สวยสงบนิ่ง เหมือนกำลังจมลึกในความคิด      เ...