"พูดแบบนั้นไปได้ยังไง”
ไปพูดแบบนั้นกับคุณมาซากิได้ยังไงกัน
บ่นพึมพำพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะนักเรียน ใบหน้าเด็กหนุ่มมุ่ยหน่อย ๆ ก่อนเด็กหนุ่มตัวสูงจะเริ่มโยกหัวตัวเองกับโต๊ะพื้นแข็งเบา ๆ
"ปากบอกว่าชอบเขา แต่ก็ไปบอกให้เขาเลิกยุ่งเนี่ยนะ"
"คุโระ ทาเคชิ ไอ้คนไร้หัวคิด "
เสียงโป๊กดังขึ้นตามมาด้วยเสียงก่นด่าตัวเองที่ดังต่อ ทาเคชิอยากจะตำหนิตัวเองอีกสักร้อยหรือสักพันครั้ง กับสิ่งที่ตนเองได้ทําลงไปกับคนที่แอบชอบอย่าง มาซากิ ฮารุโกะ
เขานี่มันแย่ชะมัด
แย่ที่สุด
"อ้า ให้ตาย-ไปพูดกับเค้าแบบนั้นได้ยังไง!"
“คุณมาซากิ...จะเสียใจหรือเปล่านะ"
"ต้องเสียใจแน่ ๆ เลย..."
คนผมดำ เขี่ยนิ้วของตัวเองเล่นบนโต๊ะนักเรียน ทาเคชิถอนหายใจ พลันคิ้วสองข้างขมวดเป็นปมพร้อมสีหน้างอง้ำ
แต่ว่าก็ถ้าไม่พูดในสถานการณ์นั้น ผมจะเอาตัวรอดยังไงล่ะ
ถึงจะรู้สึกผิดก้เถอะ แต่คนเราก็ต้องเอาตัวรอด
ใช่!
เอ่ยพิมพัมพลางยกมือมากอดอก คนผมดำพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของตนเอง.....
ซะที่ไหนกัน!
"โธ่เอ๊ย แล้วจะทําเป็นไม่สนได้ยังไงเล่า"
“ถ้าเธอเสียใจเพราะเรามันก็ต้องสนไม่ใช่เหรอ”
"..."
"โอ๊ย...ปวดหัว!"
ทาเคชิทึ้งหัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนชะงักกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับกับรอยแผลแมวข่วนบนฝ่ามือ ในหัวพลันย้อนนึกถึงคราที่ปลาสเตอร์ลายเจ้าเหมียวถูกหยิบยื่นมาให้ แม้จะส่งมาผ่านมือคนอื่น แต่อย่างไรเสียคนที่ฝากมาไว้ก็คือหญิงสาวที่เป็นเจ้าของบรรยากาศมั่นคงดังหินผาคนนั้น
ย้อนเล่นไปถึงยามเมื่อฮารุโกะปฏิบัติกับเขายามเป็นแมว แม้จะไม่รู้ว่าแมวตัวนั้นคือเขา แต่หญิงสาวก็ปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยน
"ทั้งที่เป็นคนใจดีขนาดนั้นแท้ ๆ เลยนะ"
พิมพัมเสียงเบาขณะจดจ้องรอยแผล ทาเคชิไม่เข้าใจการกระทําของฮารุโกะเลยสักนิด
ทั้งที่เธอเหมือนไม่อยากจะยุ่งกับใคร แต่กลับเอาปลาสเตอร์ยามาให้ตอนที่รู้ว่าเป็นแผล ไหนจะความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ตอนที่อยู่ด้วยกันตอนกลายร่างเป็นแมวอีก
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย
"คุณมาซากิ วันก่อนที่ให้ปลาสเตอร์ยามา ขอบคุณนะครับ แล้วก็..."
เสียงทุ่มนุ่ม เงียบลงไปเหมือนคนพูดนึกอะไรขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มเรือนผมดำจับคางตัวเองอย่างครุ่นคิดขณะนั่งอยู่โต๊ะนักเรียนตัวเดิม
"เดี๋ยวนะ ถ้าขอบคุณก่อนจะดูไม่รู้สึกผิดพูดแย่ ๆ ใส่เธอไปหรือเปล่า"
"งั้นขอโทษก่อน"
พิมพัมกับตัวเองแล้วทิ้งช่วงพูดไป กระแอมเบา ๆ ในลำคอ จากนั้นยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมปั้นหน้าตึงบึ้ง ริมฝีปากบึนขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว ทาเคชิเอื้อนเอ่ย—
“คุณมาซากิ ขอโทษนะครับที่พูดจาไม่ดีใส่ "
"เพราะงั้นต่างคนไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกันนะครับ"
"..."
“อันนี้เหมือนไปว่าเธอสอดรู้เรื่องชาวบ้านเลย!”
มือยกขึ้นยีหัวตัวเองจนฟูอย่างวุ่นวายใจ ตั้งใจว่าจะสักซ้อมก่อนจะไปขอโทษเจ้าตัวจริง ๆ แต่กลายเป็นว่าแค่ซ้อมก็ดูเหมือนจะไม่รอดแล้วซะนี่
"...เคชิคุง ทาเคชิคุง"
แล้วเสียงใหม่ก็ดังเรียกให้ออกจากห้วงความคิด ทาเคชิช้อนสายตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทอย่าง คานาเอะ ใบหน้าเด็กหนุ่มก็ฉีกรอยยิ้มกว้าง เอ่ยทักทาย
“อ๊ะ ครับ คุณคานาเอะ"
“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?"
"..เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ?"
ริโกะถามไถ่หลังเห็นท่าทางและกิริยาแปลก ๆ เมื่อครู่จากคนตรงหน้า พลันหันซ้ายขวาหาบุคคลที่เพื่อนหนุ่มตัวสูงสนทนาด้วย
ทาเคชิรีบส่ายหน้าปฏิเสธ พลางโบกมือพัลวัน
"เอ๊ะ ไม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ไม่ได้คุยอะไรกับใครหรอก อย่าใสใจเลยนะ"
บอกกลั้วรอยยิ้มแห้ง ถ้าให้ตอบไปว่าคุยกับตัวเอง บางทีมันก็อาจจะดูน่ากลัวไปสักหน่อย ริโกะที่แม้จะยังงุนงง แต่พอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ
“จริงสิ คุณคานาเอะ”
ทาเคชิเอ่ย ก่อนจะร้องถามประโยคที่เด็กสาวไม่คาดคิดออกมา
"เห็นคุณมาซากิหรือเปล่าครับ?"
"ถ้ามาซากิจังละก็ เห็นขึ้นไปกินข้าวกลางวันกับไดจิคุงที่ดาดฟ้าน่ะ"
ทาเคชิเดินดุ่มไวๆ ไปดาดฟ้าตามคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิท ยิ่งเข้าใกล้ประตูสู่ชั้นบนสุดของตึกเรียนเด็กหนุ่มเริ่มนิ่วหน้าน้อย ๆ ใบหน้าของฮารุโกะและเหตุการณ์เมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
จะเสียใจหรือเปล่านะ?
จะโดนโกรธหรือเปล่านะ?
พอคิดแบบนั้น ความรู้สึกประหม่าและความกังวล ก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในอก
เด็กหนุ่มเรือนผมดำจับลูกบิดเบา ๆ หยาดน้ำค้างคู่สวยมองลอดผ่านกระจกใสของประตูค่ายฟ้าเข้าไป พอเห็นแผ่นหลังของเป้าหมายนั่งอยู่ไม่ไกลก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก
เสียงแอ๊ดดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ประตูถูกเปิดออก
ก็แค่ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณ
เป็นไงเป็นกัน!
กล้า ๆ เข้าไว้ คุโระ ทาเคชิ
"จะว่าไป...เธอทะเลาะกับคุโระคุงเค้าเหรอ?"
ทาเคชิชะงักฝีเท้ากึกหลังได้ยินคําพูดของหัวหน้าห้องอย่างไดจิ เจ้าของดวงตาสวยทำหน้าเหลอหลาเมื่อตกกลายเป็นประเด็นในหัวข้อสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมห้องเบื้องหน้าสองคนโดยไม่ทันตั้งตัว
“อ่า... ใช่"
"รู้ได้ยังไงน่ะ?"
หวา หวาหวา หวา อะไรกัน?!
เดี๋ยวสิ นี่มันจังหวะนรกเกินไปหรือเปล่า?!
เดินเข้ามาก็ได้ยินบทสนทนาที่ตัวเองเป็นหัวข้อ อยู่พอดิบพอดีแบบนี้น่ะ
คนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนาพร่ำร้องในใจ ทางที่ดี ตอนนี้เขาควรจะหลบออกไปก่อน รอทั้งคู่คุยจบแล้วค่อยเดินเข้าไปขอโทษ ขืนเข้าไปตอนนี้จะต้อง-อึดอัด แหง ๆ
"คานาเอะคุงเค้าเล่ามา เห็นว่าหลังกลับจากคุยกับเธอ ทาเคชิคุงก็สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่"
“ก็เลยคิดว่าทะเลาะกัน”
"...งั้นเหรอ"
ไดจิเอ่ยด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง ส่วนฮารุโกะที่ได้ยิน คำบอกเล่าเช่นนั้นก็ดูจะซึมลงไปเล็กน้อย
"ฉันผิดเองละ"
“ตั้งใจจะไปขอโทษ แต่ก็ไม่กล้าไปเจอหน้าน่ะ”
เด็กสาวว่าอย่างรู้สึกผิด สีหน้าดูหมองหน่อย ๆ เมื่อนึกถึงคําพูดสุดท้ายของเพื่อนร่วมห้องผมดำ
“จากนี้เราสองคนก็ต่างคนต่างอยู่เถอะ”
คําพูดที่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขื่นขมติดตรึงใน สมอง ฮารุโกะกำขนมปังยากิโซบะในมือแน่นขึ้นนิด หน่อยเมื่อนึกถึงหน้าของทาเคชิในครานั้น
“ไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้น บ้าง– "
“แต่ถ้าคิดว่าตัวเองผิดก็รีบไปขอโทษจะดีกว่านะ มาซากิคุง”
"เอาน่า ทําใจสู้เข้าไว้ ถึงจะเป็นเรื่องร้ายแรงแค่ ไหน แต่ทาเคชิคุงก็ไม่ใช่คนที่จะเกลียดนายเข้าไส้ไป ชั่วชีวิตหรอก”
ไดจิตบบ่าเด็กสาวผู้ที่เป็นเพื่อนสนิท ตัวเขาในฐานะหัวหน้าห้อง หากเพื่อนร่วมชั้นกลับมามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้ คงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
“แล้วช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ต้องอยู่กับคุณลุงอะมาเนะสองคนแล้วนี่"
"พี่ฟุยุมิย้ายออกไปแล้วนี่นา อืม ทางฝั่งนี้พี่เคียวยะก็ออกไปแล้วเหมือนกัน"
“นี่ก็ อืม สัปดาห์นึงได้แล้วสินะ? "
คราวนี้ถามไถ่ในฐานะเครือญาติ (แบบไม่เป็นทางการ) เพราะพี่ชายของเขา ไดจิ เคียวยะ กับพี่สาว ของฮารุโกะอย่างมาซากิ ฟุยุมิกำลังจะเข้าพิธีสมรส ด้วยกันเร็ว ๆ นี้
“ก็ไม่เป็นยังไง ไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่หรอก"
ฮารุโกะตอบขณะแกะขนมปังยากิโซบะที่ซื้อเอาไว้เป็นอาหารกลางวัน พอไม่มีเบนโตะจากพี่สาว เธอก็เลยต้องฝากท้องในมื้อกลางวันไว้ที่โรงอาหารโรงเรียน
"แล้วไม่เหงาบ้างเหรอ"
เด็กหนุ่มตัวสูงถามเด็กสาวเพื่อนสนิทข้างกาย ที พอได้ยินคําถามก็นิ่งคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง
"เหงาสิ"
"ตอนแรกคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะมีโปโปะน่ะ”
แต่พอโปโปะไม่อยู่แล้ว...
"ก็เลยรู้สึกเหงา ๆ นิดหน่อย"
ว่าเสร็จก็เคี้ยวอาหารกลางวันหงุบหลับเต็มปาก ไดจิเลิกคิ้วเล็กน้อยขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบที่อีกคนเอ่ยเอื้อน ออกมา
"โปโปะ"
น้ำเสียงงุนงงร้องทวน ก่อนจะพยักหน้าหงิกหงัก เหมือนการประมวลผลเพิ่งเสร็จสิ้น
“อ๋อ โมจิสินะ”
โมจินี่เอง เข้าใจผิดกันไปคนละโยชน์
“มาซากิคุง ชอบโมจิจังเลยนะ ถึงขั้นต้องชื่อเฉพาะอย่าง โปโปะ”
"อืม ชอบมากเลยล่ะ"
รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนใบหน้าของฮารุโกะ ในหัวนึกถึงเจ้าเหมียวขนสีดำเข้มที่เขาตั้งชื่อให้ว่าโปโปะ ดวงตาหยาดน้ำค้างชวนหลงใหล อุ้งเท้าเล็กปุกปุยนุ่ม นิ่มน่าสัมผัส
แม้จะได้อยู่กับลูกแมวที่เธอเจอในสภาพเปียกชุ่ม ในเวลาไม่นานนักก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะหายไป แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฮารุโกะตกหลุมเหมียวน้อยตัวนี้เข้าเต็มรัก
"แล้วนายล่ะ พี่เคียวยะก็ย้ายออกไปแล้ว"
"ไม่เหงาเหรอ? "
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ทาเคชิได้ยินก่อนตัดสินใจ เดินออกมาจากดานฟ้า
เสียงปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ เด็กหนุ่มตัวสูงพิงหลังเข้ากับประตู มือยังจับลูกปัดไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าเด็กหนุ่มประดับกรอบด้วยเรือนผมดำฉายความงุนงง ปนประหลาดใจเอาไว้
"โปโปะ..."
โปโปะที่คุณมาซากิว่านั่น หรือว่าจะหมายถึง?
"เรา...งั้นเหรอ? "
พิมพัมด้วยน้ำเสียงฉงน มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับ คางและครุ่นคิด
ถ้าคิดว่าฮารุโกะที่ว่านั่นหมายถึงตัวเอง จะดูเข้าข้างตัวเองไปไหมนะ?
อยากจะเหยียบเบรกคันเร่งความคิดที่กำลังพุ่ง แรง ทว่าความรู้สิกยินดีที่ผุดขึ้นมาในอกข้างซ้ายกลับ สิ้นเสียจนหยุดไม่อยู่
อาจด้วยความดีใจ ได้รับรู้ว่าในร่างแมวของเขาจะทำให้ใครสักคนรู้สึกคลายเหงาได้
เป็นครั้งแรกที่รู้สึก—และได้รับความรู้สึกแบบนั้น
จากใครสักคน
ใบหน้าเด็กหนุ่มแต่งแต้มสีสันของรอยยิ้ม
การกลายเป็นแมวมันก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมดทุกอย่าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น