วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

สารรักที่ 5

    "พูดแบบนั้นไปได้ยังไง”


    ไปพูดแบบนั้นกับคุณมาซากิได้ยังไงกัน


    บ่นพึมพำพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะนักเรียน ใบหน้าเด็กหนุ่มมุ่ยหน่อย ๆ ก่อนเด็กหนุ่มตัวสูงจะเริ่มโยกหัวตัวเองกับโต๊ะพื้นแข็งเบา ๆ


    "ปากบอกว่าชอบเขา แต่ก็ไปบอกให้เขาเลิกยุ่งเนี่ยนะ"


    "คุโระ ทาเคชิ ไอ้คนไร้หัวคิด "


    เสียงโป๊กดังขึ้นตามมาด้วยเสียงก่นด่าตัวเองที่ดังต่อ ทาเคชิอยากจะตำหนิตัวเองอีกสักร้อยหรือสักพันครั้ง กับสิ่งที่ตนเองได้ทําลงไปกับคนที่แอบชอบอย่าง มาซากิ ฮารุโกะ


    เขานี่มันแย่ชะมัด


    แย่ที่สุด


    "อ้า ให้ตาย-ไปพูดกับเค้าแบบนั้นได้ยังไง!"


    “คุณมาซากิ...จะเสียใจหรือเปล่านะ"


    "ต้องเสียใจแน่ ๆ เลย..."


    คนผมดำ เขี่ยนิ้วของตัวเองเล่นบนโต๊ะนักเรียน ทาเคชิถอนหายใจ พลันคิ้วสองข้างขมวดเป็นปมพร้อมสีหน้างอง้ำ


    แต่ว่าก็ถ้าไม่พูดในสถานการณ์นั้น ผมจะเอาตัวรอดยังไงล่ะ


    ถึงจะรู้สึกผิดก้เถอะ แต่คนเราก็ต้องเอาตัวรอด


    ใช่!

    

    เอ่ยพิมพัมพลางยกมือมากอดอก คนผมดำพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของตนเอง.....


    ซะที่ไหนกัน!


    "โธ่เอ๊ย แล้วจะทําเป็นไม่สนได้ยังไงเล่า"


    “ถ้าเธอเสียใจเพราะเรามันก็ต้องสนไม่ใช่เหรอ”


    "..."


    "โอ๊ย...ปวดหัว!"


    ทาเคชิทึ้งหัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนชะงักกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับกับรอยแผลแมวข่วนบนฝ่ามือ ในหัวพลันย้อนนึกถึงคราที่ปลาสเตอร์ลายเจ้าเหมียวถูกหยิบยื่นมาให้ แม้จะส่งมาผ่านมือคนอื่น แต่อย่างไรเสียคนที่ฝากมาไว้ก็คือหญิงสาวที่เป็นเจ้าของบรรยากาศมั่นคงดังหินผาคนนั้น


    ย้อนเล่นไปถึงยามเมื่อฮารุโกะปฏิบัติกับเขายามเป็นแมว แม้จะไม่รู้ว่าแมวตัวนั้นคือเขา แต่หญิงสาวก็ปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยน


    "ทั้งที่เป็นคนใจดีขนาดนั้นแท้ ๆ เลยนะ"


    พิมพัมเสียงเบาขณะจดจ้องรอยแผล ทาเคชิไม่เข้าใจการกระทําของฮารุโกะเลยสักนิด


    ทั้งที่เธอเหมือนไม่อยากจะยุ่งกับใคร แต่กลับเอาปลาสเตอร์ยามาให้ตอนที่รู้ว่าเป็นแผล ไหนจะความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ตอนที่อยู่ด้วยกันตอนกลายร่างเป็นแมวอีก


    ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย





    "คุณมาซากิ วันก่อนที่ให้ปลาสเตอร์ยามา ขอบคุณนะครับ แล้วก็..."


    เสียงทุ่มนุ่ม เงียบลงไปเหมือนคนพูดนึกอะไรขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มเรือนผมดำจับคางตัวเองอย่างครุ่นคิดขณะนั่งอยู่โต๊ะนักเรียนตัวเดิม


    "เดี๋ยวนะ ถ้าขอบคุณก่อนจะดูไม่รู้สึกผิดพูดแย่ ๆ ใส่เธอไปหรือเปล่า"


    "งั้นขอโทษก่อน"


    พิมพัมกับตัวเองแล้วทิ้งช่วงพูดไป กระแอมเบา ๆ ในลำคอ จากนั้นยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมปั้นหน้าตึงบึ้ง ริมฝีปากบึนขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว ทาเคชิเอื้อนเอ่ย—


    “คุณมาซากิ ขอโทษนะครับที่พูดจาไม่ดีใส่ "


    "เพราะงั้นต่างคนไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกันนะครับ"


    "..."


    “อันนี้เหมือนไปว่าเธอสอดรู้เรื่องชาวบ้านเลย!”


    มือยกขึ้นยีหัวตัวเองจนฟูอย่างวุ่นวายใจ ตั้งใจว่าจะสักซ้อมก่อนจะไปขอโทษเจ้าตัวจริง ๆ แต่กลายเป็นว่าแค่ซ้อมก็ดูเหมือนจะไม่รอดแล้วซะนี่


    "...เคชิคุง ทาเคชิคุง"


    แล้วเสียงใหม่ก็ดังเรียกให้ออกจากห้วงความคิด ทาเคชิช้อนสายตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทอย่าง คานาเอะ ใบหน้าเด็กหนุ่มก็ฉีกรอยยิ้มกว้าง เอ่ยทักทาย


    “อ๊ะ ครับ คุณคานาเอะ"


    “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?"


    "..เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ?"


    ริโกะถามไถ่หลังเห็นท่าทางและกิริยาแปลก ๆ เมื่อครู่จากคนตรงหน้า พลันหันซ้ายขวาหาบุคคลที่เพื่อนหนุ่มตัวสูงสนทนาด้วย


    ทาเคชิรีบส่ายหน้าปฏิเสธ พลางโบกมือพัลวัน


    "เอ๊ะ ไม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ไม่ได้คุยอะไรกับใครหรอก อย่าใสใจเลยนะ"


    บอกกลั้วรอยยิ้มแห้ง ถ้าให้ตอบไปว่าคุยกับตัวเอง บางทีมันก็อาจจะดูน่ากลัวไปสักหน่อย ริโกะที่แม้จะยังงุนงง แต่พอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ


    “จริงสิ คุณคานาเอะ”


    ทาเคชิเอ่ย ก่อนจะร้องถามประโยคที่เด็กสาวไม่คาดคิดออกมา


    "เห็นคุณมาซากิหรือเปล่าครับ?"


    "ถ้ามาซากิจังละก็ เห็นขึ้นไปกินข้าวกลางวันกับไดจิคุงที่ดาดฟ้าน่ะ"


    ทาเคชิเดินดุ่มไวๆ ไปดาดฟ้าตามคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิท ยิ่งเข้าใกล้ประตูสู่ชั้นบนสุดของตึกเรียนเด็กหนุ่มเริ่มนิ่วหน้าน้อย ๆ ใบหน้าของฮารุโกะและเหตุการณ์เมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด


    จะเสียใจหรือเปล่านะ?


    จะโดนโกรธหรือเปล่านะ?


    พอคิดแบบนั้น ความรู้สึกประหม่าและความกังวล ก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในอก


    เด็กหนุ่มเรือนผมดำจับลูกบิดเบา ๆ หยาดน้ำค้างคู่สวยมองลอดผ่านกระจกใสของประตูค่ายฟ้าเข้าไป พอเห็นแผ่นหลังของเป้าหมายนั่งอยู่ไม่ไกลก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก


    เสียงแอ๊ดดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ประตูถูกเปิดออก


    ก็แค่ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณ


    เป็นไงเป็นกัน!


    กล้า ๆ เข้าไว้ คุโระ ทาเคชิ


    "จะว่าไป...เธอทะเลาะกับคุโระคุงเค้าเหรอ?"


    ทาเคชิชะงักฝีเท้ากึกหลังได้ยินคําพูดของหัวหน้าห้องอย่างไดจิ เจ้าของดวงตาสวยทำหน้าเหลอหลาเมื่อตกกลายเป็นประเด็นในหัวข้อสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมห้องเบื้องหน้าสองคนโดยไม่ทันตั้งตัว


    “อ่า... ใช่"


    "รู้ได้ยังไงน่ะ?"


    หวา หวาหวา หวา อะไรกัน?!


    เดี๋ยวสิ นี่มันจังหวะนรกเกินไปหรือเปล่า?!


    เดินเข้ามาก็ได้ยินบทสนทนาที่ตัวเองเป็นหัวข้อ อยู่พอดิบพอดีแบบนี้น่ะ


    คนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนาพร่ำร้องในใจ ทางที่ดี ตอนนี้เขาควรจะหลบออกไปก่อน รอทั้งคู่คุยจบแล้วค่อยเดินเข้าไปขอโทษ ขืนเข้าไปตอนนี้จะต้อง-อึดอัด แหง ๆ


    "คานาเอะคุงเค้าเล่ามา เห็นว่าหลังกลับจากคุยกับเธอ ทาเคชิคุงก็สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่"


    “ก็เลยคิดว่าทะเลาะกัน”


    "...งั้นเหรอ"


    ไดจิเอ่ยด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง ส่วนฮารุโกะที่ได้ยิน คำบอกเล่าเช่นนั้นก็ดูจะซึมลงไปเล็กน้อย


    "ฉันผิดเองละ"


    “ตั้งใจจะไปขอโทษ แต่ก็ไม่กล้าไปเจอหน้าน่ะ”


    เด็กสาวว่าอย่างรู้สึกผิด สีหน้าดูหมองหน่อย ๆ เมื่อนึกถึงคําพูดสุดท้ายของเพื่อนร่วมห้องผมดำ


    “จากนี้เราสองคนก็ต่างคนต่างอยู่เถอะ”


    คําพูดที่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขื่นขมติดตรึงใน สมอง ฮารุโกะกำขนมปังยากิโซบะในมือแน่นขึ้นนิด หน่อยเมื่อนึกถึงหน้าของทาเคชิในครานั้น


    “ไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้น บ้าง– "


    “แต่ถ้าคิดว่าตัวเองผิดก็รีบไปขอโทษจะดีกว่านะ มาซากิคุง”


    "เอาน่า ทําใจสู้เข้าไว้ ถึงจะเป็นเรื่องร้ายแรงแค่ ไหน แต่ทาเคชิคุงก็ไม่ใช่คนที่จะเกลียดนายเข้าไส้ไป ชั่วชีวิตหรอก”


    ไดจิตบบ่าเด็กสาวผู้ที่เป็นเพื่อนสนิท ตัวเขาในฐานะหัวหน้าห้อง หากเพื่อนร่วมชั้นกลับมามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้ คงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง


    “แล้วช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ต้องอยู่กับคุณลุงอะมาเนะสองคนแล้วนี่"


    "พี่ฟุยุมิย้ายออกไปแล้วนี่นา อืม ทางฝั่งนี้พี่เคียวยะก็ออกไปแล้วเหมือนกัน"


    “นี่ก็ อืม สัปดาห์นึงได้แล้วสินะ? "


    คราวนี้ถามไถ่ในฐานะเครือญาติ (แบบไม่เป็นทางการ) เพราะพี่ชายของเขา ไดจิ เคียวยะ กับพี่สาว ของฮารุโกะอย่างมาซากิ ฟุยุมิกำลังจะเข้าพิธีสมรส ด้วยกันเร็ว ๆ นี้


    “ก็ไม่เป็นยังไง ไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่หรอก"


    ฮารุโกะตอบขณะแกะขนมปังยากิโซบะที่ซื้อเอาไว้เป็นอาหารกลางวัน พอไม่มีเบนโตะจากพี่สาว เธอก็เลยต้องฝากท้องในมื้อกลางวันไว้ที่โรงอาหารโรงเรียน


    "แล้วไม่เหงาบ้างเหรอ"


    เด็กหนุ่มตัวสูงถามเด็กสาวเพื่อนสนิทข้างกาย ที พอได้ยินคําถามก็นิ่งคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง


    "เหงาสิ"


    "ตอนแรกคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะมีโปโปะน่ะ”


    แต่พอโปโปะไม่อยู่แล้ว...


    "ก็เลยรู้สึกเหงา ๆ นิดหน่อย"


    ว่าเสร็จก็เคี้ยวอาหารกลางวันหงุบหลับเต็มปาก ไดจิเลิกคิ้วเล็กน้อยขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบที่อีกคนเอ่ยเอื้อน ออกมา


    "โปโปะ"

    

    น้ำเสียงงุนงงร้องทวน ก่อนจะพยักหน้าหงิกหงัก เหมือนการประมวลผลเพิ่งเสร็จสิ้น


    “อ๋อ โมจิสินะ”


    โมจินี่เอง เข้าใจผิดกันไปคนละโยชน์


    “มาซากิคุง ชอบโมจิจังเลยนะ ถึงขั้นต้องชื่อเฉพาะอย่าง โปโปะ”


    "อืม ชอบมากเลยล่ะ"


    รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนใบหน้าของฮารุโกะ ในหัวนึกถึงเจ้าเหมียวขนสีดำเข้มที่เขาตั้งชื่อให้ว่าโปโปะ ดวงตาหยาดน้ำค้างชวนหลงใหล อุ้งเท้าเล็กปุกปุยนุ่ม นิ่มน่าสัมผัส


    แม้จะได้อยู่กับลูกแมวที่เธอเจอในสภาพเปียกชุ่ม ในเวลาไม่นานนักก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะหายไป แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฮารุโกะตกหลุมเหมียวน้อยตัวนี้เข้าเต็มรัก


    "แล้วนายล่ะ พี่เคียวยะก็ย้ายออกไปแล้ว"


    "ไม่เหงาเหรอ? "


    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ทาเคชิได้ยินก่อนตัดสินใจ เดินออกมาจากดานฟ้า


    เสียงปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ เด็กหนุ่มตัวสูงพิงหลังเข้ากับประตู มือยังจับลูกปัดไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าเด็กหนุ่มประดับกรอบด้วยเรือนผมดำฉายความงุนงง ปนประหลาดใจเอาไว้


    "โปโปะ..."


    โปโปะที่คุณมาซากิว่านั่น หรือว่าจะหมายถึง?


    "เรา...งั้นเหรอ? "


    พิมพัมด้วยน้ำเสียงฉงน มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับ คางและครุ่นคิด


    ถ้าคิดว่าฮารุโกะที่ว่านั่นหมายถึงตัวเอง จะดูเข้าข้างตัวเองไปไหมนะ?


    อยากจะเหยียบเบรกคันเร่งความคิดที่กำลังพุ่ง แรง ทว่าความรู้สิกยินดีที่ผุดขึ้นมาในอกข้างซ้ายกลับ สิ้นเสียจนหยุดไม่อยู่


    อาจด้วยความดีใจ ได้รับรู้ว่าในร่างแมวของเขาจะทำให้ใครสักคนรู้สึกคลายเหงาได้


    เป็นครั้งแรกที่รู้สึก—และได้รับความรู้สึกแบบนั้น


    จากใครสักคน


    ใบหน้าเด็กหนุ่มแต่งแต้มสีสันของรอยยิ้ม


    การกลายเป็นแมวมันก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมดทุกอย่าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สารรักที่ 7

     ทาเคชินั่งมองพระจันทร์ยามเที่ยงคืนจากริมหน้าต่าง      มือหนึ่งยกขึ้นมาเท้าคาง หยาดน้ำค้างคู่สวยสงบนิ่ง เหมือนกำลังจมลึกในความคิด      เ...